สวัสดีครับเพื่อนๆวันนี้เป็นยังไงบ้างสบายดีกันรึเปล่า ครับ วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับสิ่งของใกล้ตัวของเรากันดีกว่านั้นก็คือ ปากกาครับเพื่อนๆรู้หรือเปล่าว่าปากกาที่เราเขียนอยู่ทุกวันนั้นต้นกำเนินมันมาจากที่ไหนอย่างไรใครเป็นคนคิดสร้างสรรค์มันขึ้นมาอยากรู้กันเเล้วใช่ไหมครับ ไปดูกันเลย...........>>>
ในยุคอดีตมนุษย์อาจจะใช้นิ้วจุ่มดินหรือหินสี ที่บดเป็นผงผสมกับยางไม้ หรือกาวจากหนังสัตว์ ขีดเขียนบนผนังถ้ำหรือเพิงผา ต่อมาอาจใช้ ดิน หิน ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม โดยการนำมาฝนหรือทำให้เป็นแท่งเพื่อความสะดวกในการขีดเขียน เช่น นำหินชนวนมาทำเป็นดินสอหิน สำหรับเขียนบนกระดานชนวน หรือการทำชอล์กจากผงแคลเซียมซัลเฟต จากเกลือจืด หรือยิปซัมผสมน้ำ แล้วทำให้เป็นแท่งเพื่อสะดวกในการใช้งาน เช่นในปัจจุบันนี้
วิวัฒนาการของการเขียน
จากการเขียนบนฝาผนังถ้ำ นำมาสู่การเขียนบนแผ่นไม้หรือแผ่นโลหะ ตลอดถึงการเขียนบนใบไม้ (เขียนหรือจารคัมภีร์โบราณลงบนใบลาน) มาจนถึงการประดิษฐ์กระดาษขึ้นใช้ จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ มนุษย์ได้มีการพัฒนาเครื่องมือและกรรมวิธีในการเขียนมาอย่างต่อเนื่อง
ชาวอียิปต์โบราณเป็นชาติแรกที่ใช้แปรงเขียนหนังสือบนแผ่นกระดาษที่ทำจากต้นปาปิรุส (papyrus) เป็นการเริ่มต้นวิธีการเขียนด้วยการปล่อยหมึกหรือสีบนแผ่นรองเขียน เช่นเดียวกับการเขียนหนังสือด้วยพู่กันของจีนและญี่ปุ่น ซึ่งอาจเป็นแนวความคิดเบื้องต้นที่พัฒนาไปสู่การประดิษฐ์ปากกา
ชาวกรีกโบราณประดิษฐ์ปากกาขึ้นจากต้นกกไส้กลวง โดยการปาดให้มีปากหลายๆแบบ ทำให้เขียนเส้นได้หลายขนาด ปากกานี้ไม่ใช้หมึกแต่ใช้เขียนบนผิวไม้ที่เคลือบขี้ผึ้งไว้ ทำให้เกิดรอยเป็นตัวอักษรบนผิวขี้ผึ้ง
"ปากกาแพร่หลายในอังกฤษ"
การนำวัสดุผิวเรียบมาเป็นสิ่งรองเขียนก่อให้เกิดการพัฒนา " เครื่องเขียน " ที่มีระสิทธิ ภาพสอดคล้องกับการใช้สอย มนุษย์เริ่มนำขนนกหรือขนห่านมาทำเป็น " ปากกา " เรียกว่า " ปากไก่ " สามารถเขียนได้คมชัดและเขียนติดต่อกันได้นาน ในศตวรรษที่ 5 " ปากไก่ " เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในประเทศอังกฤษ นับเป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการเขียนหนังสือของชาวตะวันตก ในขณะที่ชาวตะวันออกยังนิยมใช้พู่กันไม้อยู่ แต่ทั้ง "ปากไก่" และ "พู่กัน" ไม่มีหมึกในตัวเอง ต้องจุ่มหมึกทุกครั้งที่ใช้เขียนทำให้เขียนได้ไม่สะดวก ต่อมาประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 15 มนุษย์เริ่มประดิษฐ์ " ปากกา " ที่มีปากเป็นโลหะและมีรอยผ่าตรงกลางปาก ทำให้เขียนได้นานโดยไม่ต้องจุ่มหมึกทุกครั้งที่เขียน
ในประเทศอังกฤษมีการทำปากกาชนิดนี้ขึ้นใช้กันอย่างแพร่หลาย มีการผลิต " ปากกา " ที่ปลายปากทำด้วยวัสดุต่างๆกัน เช่น เขาสัตว์ เปลือกหอย เหล็กและทอง มีการผลิตกันมากขึ้นจนกลายเป็นโรงงานอุตสาหกรรม แข่งขันกันในเรื่องของความสวยงาม พร้อมกับประดิษฐ์กล่องและที่ใส่หมึกควบคู่ไปกับปากกาด้วย แม้ว่าจะได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลาย แต่ก็ไม่มีผู้ใดสามารถประดิษฐ์ปากกาที่มีหมึกในตัวเองได้
"บิดาแห่งการประดิษฐ์ปากกาหมึกซึม"
ปี ค.ศ. 1884 Lewis Edson Waterman ได้ผลิตปากกาที่มีหมึกในตัว เรียกว่า " ปากกาหมึกซึม " (Fountain pen ) ที่นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา จึงถือว่า Waterman เป็นบิดาแห่งการประดิษฐ์ปากกาหมึกซึม มีการคิดค้นพัฒนาปากกาชนิดนี้ให้มีคุณภาพดีขึ้น สะดวกในการใช้งานและมีรูปทรงสวยงาม ผลิตในระดับอุตสาหกรรมทั้งในอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และประเทศอื่นๆ สืบต่อมาจนถึงในปัจจุบัน มีนักประดิษฐ์ปากกาที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดี อาทิเช่น George Parker, Walter A. Sheaffer เป็นต้น และได้ครอบครองความเป็นจ้าวแห่งเครื่องมือสำหรับการเขียนมาโดยตลอดเป็นเวลานานหลายสิบปี
ในปี ค.ศ. 1900 " ปากกาหมึกซึม " ได้พบคู่แข่งใหม่นั่นก็คือ " ปากกาลูกลื่น " ปากกาที่มีลูกกลิ้ง ( Ball ) กลมๆเล็กๆ อยู่ที่ปลายปาก เวลาเขียนลูกกลมๆเล็กๆนี้จะหมุน ( กลิ้ง ) ทำให้หมึกออกมาติดบนกระดาษ ปากกาชนิดนี้เกิดขึ้นมาประมาณ 100 กว่าปีมาแล้ว โดยชาวอเมริกาชื่อ จอห์น เอช. ลาวด์ เป็นผู้ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อใช้ขีดเขียนบนพื้นที่หยาบๆ ซึ่งไม่ใช่กระดาษ
ปลายปี ค.ศ. 1930 นักหนังสือพิมพ์และศิลปินชาวฮังกาเรียน ชื่อ ไบโร ได้ประดิษฐ์ปากกาลูกลื่นขึ้นมาใหม่ ในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นบรรณาธิการนิตยสารฉบับหนึ่ง ที่กรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี ไบโรได้เกิดแนวความคิดจากหมึกแห้ง ( Quick - drying ink ) ที่ช่างพิมพ์ในโรงพิมพ์นั้นใช้พิมพ์หนังสือ จึงคิดหาวิธีนำหมึกชนิดนี้มาบรรจุลงในปากกา โดยที่หมึกจะไม่ไหลและหย[คำไม่พึงประสงค์]อกมาจนเปื้อนกระดาษ ในที่สุดก็ประดิษฐ์ปากกาที่ใช้หมึกแห้งขึ้นมาจนเป็นผลสำเร็จ ซึ่งก็คือ " ปากกาลูกลื่น " ( Ball - point pen ) สามารถใช้ขีดเขียนโดยไม่มีหมึกหยดและไหลเปรอะเปื้อนเหมือนปากกาหมึกซึมแบบเก่า
เส้นทางของปากกาลูกลื่น
ปี ค.ศ. 1938 ไบโรได้ทำการจดทะเบียนสงวนลิขสิทธิ์ แต่ได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้นมาก่อน เขาจึงได้หนีนาซีไปอยู่ที่ฝรั่งเศส สเปน และเร่ร่อนไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ไปอยู่ที่ประเทศอาร์เจนตินา
ต้นปี ค.ศ. 1940 ณ กรุงบัวโนส ไอเรส ไบโรได้รับความช่วยเหลือจากพี่ชายซึ่งเป็นนักเคมีผลิตปากกาลูกลื่นออกจำหน่าย แต่เนื่องจากขาดทุนทรัพย์ เขาจึงขายลิขสิทธิ์สิ่งประดิษฐ์นี้ให้กับราชการทหารของอังกฤษและสหรัฐอเมริกาในราคาไม่กี่เหรียญ ภายหลังลิขสิทธิ์ได้ถูกขายต่อให้กับบริษัท BIC ( ของฝรั่งเศส ) ทำการผลิตปากกาลูกลื่นยี่ห้อ BIC ออกจำหน่ายไปทั่วโลก ในระหว่างปี ค.ศ. 1950 - 1980 สามารถจำหน่ายได้กว่า 10 ล้านด้าม / วัน
ในขณะเดียวกับที่ผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ที่แท้จริงกลับไม่ประสบกับความสำเร็จในชีวิต สิ่งที่คงเหลืออยู่ก็คือความภูมิใจในสิ่งประดิษฐ์ที่คนทั่วโลกรู้จักและใช้ประโยชน์มาตราบเท่าทุกวันนี้
ที่มา http://dek-d.com/board/view.php?id=940339
คิงส์ตันเปิดตัว “DataTraveler 5000” ยูเอสบี แฟรชไดร์ฟพร้อมระบบความปลอดภัยสูงขั้นเทพ ผ่านการรับรองมาตรฐานด้านความปลอดภัยจากรัฐบาลสหรัฐฯ
คิงส์ตัน ดิจิตอล อิงค์ บริษัทในเครือแฟลชเมมโมรี่ของคิงส์ตัน เทคโนโลยี คอมพานี อิงค์ ผู้ผลิตหน่วยความจำรายใหญ่ที่สุดของโลก วันนี้ประกาศเปิดตัวแฟลชไดรฟ์แบบ USB รุ่น DataTraveler 5000 ซึ่งผ่านการรับรองมาตรฐาน FIPS 140-2 ที่ระดับความปลอดภัย Level 2 และกำลังอยู่ระหว่างการขอรับรองมาตรฐานความปลอดภัย Level 3 อยู่ และยังตอกย้ำความปลอดภัยอีกขั้นด้วยการเข้ารหัสระดับฮาร์ดแวร์ในระบบ AES แบบ 256 บิต DataTraveler 5000 นี้ใช้โหมดการเข้ารหัส XTS cipher และยังใช้อัลกอริธึมการเข้ารหัสด้วยเส้นโค้ง (Elliptic Curve Cryptography: ECC) เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐาน Suite B ที่ผ่านการอนุมัติจากรัฐบาลสหรัฐฯ
โปรโมชั่นใหม่ล่าสุด เจาะกลุ่มนักศึกษาและวัยรุ่นจุใจกับ BBM (แชต), Facebook, Push Mail และท่องเน็ตไม่อั้น เพียงเดือนละ 300 บาทเท่านั้น
ทรูมูฟ ผู้ให้บริการแบล็กเบอร์รี่รายแรกของไทย นำโดย นายนิก ยูง (ซ้าย) ผู้จัดการบริหารผลิตภัณฑ์, การตลาดอุปกรณ์คอนเวอร์เจนซ์ และนายอาร์ม เวชชาชีวะ (ขวา) ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ แผนกบริหารผลิตภัณฑ์ 3G แบล็กเบอร์รี่ บริษัท ทรู มูฟ จำกัด ประกาศเปิดตัวโปรโมชั่นใหม่ล่าสุด “BlackBerry Super Chat” แบบเติมเงิน สำหรับนักเรียนและนักศึกษาโดยเฉพาะ สุดคุ้มกับ 4 บริการยอดนิยม ได้แก่ แชตผ่าน BBM เชื่อมต่อ Facebook บริการ Push Mail และท่องเน็ตผ่านแบล็กเบอร์รี่แบบไม่จำกัด เพียงเดือนละ 300 บาทเท่านั้น สมัครโปรโมชั่น “BlackBerry Super Chat” แบบเติมเงิน ได้ตั้งแต่วันนี้ — 31 มีนาคม 2553 รับความคุ้มค่าแบบไม่อั้นได้จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2553 ยิ่งสมัครเร็ว…ยิ่งคุ้ม (ที่มา: ทรูมูฟ)
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง Windows รุ่น 32 บิตและ Windows รุ่น 64 บิตจะเกี่ยวข้องกับการเข้าถึงหน่วยความจำ การจัดการหน่วยความจำ และคุณลักษณะความปลอดภัยขั้นสูง คุณลักษณะความปลอดภัยที่มีอยู่ใน Windows รุ่น 64 บิตมีดังต่อไปนี้
- การป้องกันโปรแกรมปรับปรุงเคอร์เนล
- การสนับสนุนการป้องกันการปฏิบัติงานข้อมูล (DEP) ที่ใช้ได้กับฮาร์ดแวร์
- การรับรองโปรแกรมควบคุมที่บังคับ
- การเอาการสนับสนุนสำหรับโปรแกรมควบคุม 32 บิตออก
- การเอาระบบย่อย 16 บิตออก
หนึ่งในข้อได้เปรียบที่ดีที่สุดของการใช้ Windows Vista รุ่น 64 บิตคือ ความสามารถในการเข้าถึงหน่วยความจำกายภาพ (RAM) ที่มีช่วงสูงกว่า 4 กิกะไบต์ (GB) Windows Vista รุ่น 32 บิตไม่สามารถเข้าถึงหน่วยความจำกายภาพนี้ได้
ประโยชน์ที่จะได้รับเมื่อคุณติดตั้ง Windows รุ่น 64 บิต
เพิ่มการสนับสนุนหน่วยความจำสูงกว่าพื้นที่หน่วยความ จำที่สามารถเข้าถึงได้จำนวน 4 GB ซึ่งมีอยู่ในระบบปฏิบัติการแบบ 32 บิต
เพิ่มประสิทธิภาพของโปรแกรมสำหรับโปรแกรมที่เขียนขึ้ นเพื่อใช้ประโยชน์จากระบบปฏิบัติการแบบ 64 บิต
คุณลักษณะความปลอดภัยขั้นสูง
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง Windows รุ่น 32 บิต และ Windows รุ่น 64 บิต
ความต้องการของระบบ
- 32 bit : ตัวประมวลผลขนาด 32 บิต (x86) 1 กิกะเฮิรตซ์ (GHz) หรือขนาดตัวประมวลผลขนาด 64 บิต (x64) RAM ขนาด 512 MB
- 64 bit : ตัวประมวลผลขนาด 64 บิต (x64) 1GHz RAM ขนาด 1 GB (แนะนำให้ใช้ 4 GB)
การเข้าถึงหน่วยความจำ
- 32 bit : Windows รุ่น 32 บิต สามารถเข้าถึง RAM ได้สูงสุดถึง 3 GB
- 64 bit : Windows รุ่น 64 บิต สามารถเข้าถึง RAM ได้ตั้งแต่ 1 GB จนถึง RAM ขนาด 128 GB ขึ้นไป
แหล่งที่มา www.pantip.com
๏ เปิดใช้งานและปรับปรุงซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยให้ทันสมัยเสมอ
โดยเฉพาะถ้าใช้งานแล็ปท็อปที่ต้องเชื่อมต่อกับเครือข่ายที่ไม่มีการป้องกันใดๆ ในบริเวณสนามบิน ร้านกาแฟ และสถานที่ต่างๆ
๏ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าซอฟต์แวร์ป้องกันภัยบนเว็บครอบคลุมการป้องกันอี-เมล และแอพพลิเคชั่นการประมวลผลที่ใช้ทั้งหมด
และสามารถแจ้งเตือนเกี่ยวกับปริมาณการส่งผ่านข้อมูลทั้งเข้า และออกจากคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งานในเวลาจริง
๏ ปรับใช้เทคโนโลยีล่าสุด เช่น การป้องกันโดยเทคโนโลยีการตรวจสอบชื่อเสียง และประวัติเว็บไซต์ (Web Reputation)
ซึ่งสามารถวัดระดับความปลอดภัย และความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ก่อนที่คุณจะเข้าเยี่ยมชมได้
ควรใช้เทคโนโลยีการตรวจสอบประวัติเว็บร่วมกับเทคโนโลยีการกรองยูอาร์แอล และการสแกนเนื้อหา
ในโอกาสครบ 20 ปี เทรนด์ ไมโคร อิงค์ ธุรกิจจัดการและรักษาความปลอดภัยข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต
จัดทำรายงานสรุป 20 อันดับไวรัสที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ พร้อมเสนอแนะแนวทางการป้องกันภัยคุกคามข้อมูล
20 อันดับไวรัสที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์
1. CREEPER (1971)
โปรแกรมหนอนอินเตอร์เน็ตตัวแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ในคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ TOPS TEN
2. ELK CLONER (1985)
ไวรัสคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลตัวแรกที่เกิดกับ Apple IIe เป็นผลงานของเด็กนักเรียนระดับมัธยมศึกษา (เกรด 9)
3. THE INTERNET WORM (1985)
เขียนโดยบุคลากรในมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ซึ่งมีผลต่อการใช้งานอินเตอร์เน็ต
4. PAKISTANI BRAIN (1988)
ไวรัสตัวแรกที่ติดกับคอมพิวเตอร์พีซีไอบีเอ็ม เขียนโดยสองพี่น้องจากปากีสถาน
ถือเป็นไวรัสตัวแรกที่สื่อให้ความสนใจอย่างแพร่หลาย
5. JERUSALEM FAMILY (1990)
มีสายพันธุ์ที่แตกต่างกันประมาณ 50 สายพันธุ์ เชื่อกันว่ามีต้นกำเนิดมาจากมหาวิทยาลัยเยรูซาเล็ม
6. STONED (1989)
ไวรัสที่แพร่ระบาดหนักที่สุดช่วงสิบปีแรก ติดเชื้อในส่วนบูตระบบ /.mbr
ส่งผลให้รีบูตระบบหลายครั้งและยังแสดงข้อความว่า "your computer is now stoned"
7. DARK AVENGER MUTATION ENGINE (1990)
เขียนเมื่อปี 1988 แต่นำไปใช้ครั้งแรกต้นปี 1990 เช่นเดียวกับไวรัส POGUE และ COFFEESHOP
กลไกการกลายพันธุ์ได้หลากหลายรูปแบบของไวรัสตัวนี้ ทำให้ไวรัสสามารถทำงานได้ตลอดเวลา
8. MICHEANGELO (1992)
สายพันธุ์หนึ่งของ STONED ความสามารถทำลายล้างสูง
โดยวันที่ 6 มีนาคม ไวรัสตัวนี้จะลบ 100 เซ็คเตอร์แรกของฮาร์ดไดรฟ์ให้ใช้งานไม่ได้
9. WORLD CONCEPT (1995)
ไวรัส Microsoft Word Macro ตัวแรกที่แพร่กระจายสู่โลกภายนอก
โดยมีการแอบใส่ข้อความไว้ว่า "That"s enough to prove my point"
ถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ในยุคที่สองของไวรัสคอมพิวเตอร์
และที่สำคัญเป็นไวรัสคอมพิวเตอร์ที่เกิดจากแฮกเกอร์ซึ่งมีทักษะน้อยมาก
10. CIH/CHERNOBYL (1998)
ไวรัส Chernobyl เป็นไวรัสทำลายล้างมากที่สุดเท่าที่เคยพบ
เริ่มปฏิบัติการทำลายล้างโดยอาศัยเงื่อนไข คือเมื่อปฏิทินในเครื่องคอมพิวเตอร์ตรงกับวันที่ 26 ในทุกๆ เดือน
สามารถทำลายข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ และทำลายข้อมูลการบูตที่เก็บอยู่ในไบออส โดยแฟลชไบออสด้วยข้อมูลขยะ
ส่งผลให้ข้อมูลต่างๆ ที่เคยแสดงตอนบูตเครื่องกลายเป็นหน้าว่างๆ และไม่สามารถเรียกขึ้นมาใช้งานได้อีกต่อไป
11. MELISSA (1999)
ไวรัสสำคัญตัวแรกที่แพร่ระบาดผ่านอี-เมล และเป็นการเริ่มต้นของยุคไวรัสอินเตอร์เน็ตอย่างแท้จริง
แม้ Melissa ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อการทำลาย แต่ก่อให้เกิดความรำคาญแก่ผู้ใช้
เนื่องจากจะทำให้กล่องรับอี-เมลเต็มในทุกที่ที่เกิดการติดเชื้อ
12. LOVEBUG (2001)
หนอนอี-เมลที่ได้รับความนิยมสูงสุด เป็นรูปแบบของการใช้ชุมชนเครือข่ายสังคมออนไลน์ให้เป็นประโยชน์
13.Code RED (2001)
ตั้งชื่อตามเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนสูงที่ได้รับความนิยม
ไวรัสเครือข่ายตัวนี้จะอาศัยอยู่ในคอมพิวเตอร์ที่มีช่องโหว่ความปลอดภัย และทำการแพร่ระบาดด้วยตัวเอง
14. NIMDA (2001)
เรียกกันว่า "Swiss Army Knife" หรือมีดอเนกประสงค์ของไวรัส ซึ่งจะใช้หลายวิธีในการเข้าสู่เครือข่าย
ไม่ว่าจะเป็นหน่วยความจำล้นอี-เมล การใช้เครือข่ายร่วมกัน และวิธีการอื่นๆ อีกเป็นสิบวิธี
15. BAGEL/NETSKY (2004)
เป็นไวรัสที่ออกแบบมาโดยมีความสามารถเทียบเคียงกัน และต่อสู้กันเอง
แต่ละตัวสร้างสายพันธุ์ออกมาอีกนับร้อยสายพันธุ์ และใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ
ซึ่งประสบความสำเร็จในการแพร่ระบาดอย่างมาก หนอนทั้งสองตัวนี้ติดอยู่ในกระแสข่าวตลอดทั้งปี
16. BOTNETS (2004)
นักรบซอมบี้ในโลกอินเตอร์เน็ตเหล่านี้ ช่วยงานอาชญากรไซเบอร์ด้วยการสะสมกำลังพลคอมพิวเตอร์ที่ติดเชื้ออย่างไม่มีวันสิ้นสุด
โดยอาชญากรไซเบอร์จะสามารถกำหนดค่าใหม่ให้กับคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายได้
เพื่อให้ส่งต่อสแปม, เพิ่มเหยื่อติดเชื้อ และขโมยข้อมูล
17. ZOTOB (2005)
หนอนตัวนี้มีผลเฉพาะกับระบบ Windows 2000 ที่ไม่ได้ติดตั้งโปรแกรมซ่อมแซม
แต่ความสามารถที่โดดเด่นคือเข้าควบคุมไซต์ของสื่อรายใหญ่หลายแห่ง รวมทั้งซีเอ็นเอ็น และนิวยอร์ก ไทม์ส
18. ROOTKITS (2005)
หนึ่งในเครื่องมือที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลกของโค้ดที่เป็นอันตราย
ซึ่งถูกใช้เพื่อทำให้มัลแวร์อื่นสามารถซ่อนตัวอยู่ในคอมพิวเตอร์ได้
โดยมัลแวร์ที่ซ่อนตัวอยู่จะทำงานที่เป็นอันตรายอย่างลับๆ
19. STORM WORM (2007)
ไวรัสลวงที่ที่เกิดขึ้นซ้ำนับพันๆ ครั้ง และในท้ายที่สุดก็จะสร้างบ็อตเน็ตที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
โดยเชื่อว่ามีคอมพิวเตอร์ที่ติดเชื้อในเวลาเดียวกันมากกว่า 15 ล้านเครื่อง และอยู่ภายใต้การควบคุมของอาชญกรใต้ดิน
20. ITALIAN JOB (2007)
ไม่ใช่มัลแวร์ที่ใช้เครื่องมือเดี่ยวๆ แต่เป็นการโจมตีร่วมกันโดยใช้ชุดเครื่องมือที่จัดเตรียมไว้ล่วงหน้าหรือรู้จักว่า MPACK
เพื่อสร้างมัลแวร์รุ่นใหม่เพื่อการขโมยข้อมูลขึ้นมา และมีเว็บไซต์กว่าหมื่นแห่งตกเป็นเหยื่อ
.
รูปภาพ

รูปภาพผู้จัดทำ